วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

เจอแล้ววิธีการเรียนอย่างไรให้เก่ง.....สุด..สุดดดดดด

"ถ้าต้องการเรียนคณิตศาสตร์ให้ได้เกรด 4 ตลอดชีวิต
ถ้าต้องการเตรียมสอบ Entrance ในเวลา 3 วัน
ถ้าต้องการเป็นที่ 1 ระดับชั้น
ถ้าต้องการสอบแข่งขันอยู่ในระดับ 1 ใน 10 ของประเทศ
มันคือประสบการณ์จริงจากชีวิตผม ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกันล่ะ
อ่านแล้วคุณอาจจะได้วิธีการเรียนที่ดีที่สุดแก่ตัวคุณเอง (ผมหวังว่ายังนั้น)"






หลักการที่สำคัญที่สุด คุมตัวของคุณเองให้ได้อย่างที่ต้องการจะเป็น แพ้ชนะอยู่ที่การสู้กับตัวเอง มิใช่สู้กับคนอื่น
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะขาดไม่ได้ ความขยันอันไม่มีอะไรจะหยุดได้
ทฤษฎีบท ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สำเร็จมิได้ด้วยความเพียร

     สิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ เป็นหลักการควบคุมตัวเองทั้งสิ้น ลองด้วยตัวคุณเองแล้วจะรู้ว่า
 ผมไม่ได้โกหกคุณเลย (ถ้าคุณทำตามที่ผมว่ามาได้นะ ........ต้องได้ซิถ้าคุณจะทำจริง ๆ เพราะผมก็ทำมาแล้ว ....)

มองขั้นตอนทั้งหมดสรุปย่อโดยรวม
1. ควบคุมภาวะการหลับและการตื่นได้ดั่งใจ
2. ออกกำลังสม่ำเสมอ เพื่อพลังกายที่สมบูรณ์แบบ
3. อ่านหนังสือทุกวัน วันละ 2 ชม.(หรือตามที่คิดว่าเหมาะสมกับคุณ)
4. นั่งสมาธิและทบทวนก่อนนอน และ ตื่นนอนทุกวัน 
 
คำอธิบายในแต่ละขั้นตอน และ รายละเอียดปลีกย่อ
1. คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนครับ. 
เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกัน 
ให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือครับ. 
เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยม 
และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ครับ. 
ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ยากครับ. 

2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ ครับ.
เช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1 - 2 ชม.ก็เกินพอครับ. 
แต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องครับ. ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างนึงแล้ว 
ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุดครับ. 

3. ที่ว่า 1 -2 ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับ
ได้ครั้งละเท่าไรครับ. อย่างเช่นพี่จะ อ่านวันละ 2 ชม. แต่แบ่ง เป็น 4 ยกครับ. ครั้งละ 25 - 30 นาที 
และพัก 5- 10 นาที 

4. อ่านจบวันนึง ๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ เลยนะครับ. 
สรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร 

5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง 
ให้นึกที่เราสรุปไว้ เมื่อกี๊ครับ. ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ด ี
ให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่ครับ. 

6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาครับ. 
เช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 1 
เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ 
อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ ครับ. 
เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้าง 
เช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่า 
where do you go .? อะไรเป็นต้น 
แล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาต่างด้าวยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะ 
ดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งที 
ีก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ 

7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ 
อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วครับ. 
ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกลครับ. 
แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ 
ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยครับ. 
จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัด มาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน 
จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มนึงมา 
อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด . 
สำคัญคือความตั้งใจนะครับ. 
ต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้ว 
ทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิด 
สุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเอง 
ให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้ 
โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่า 
ต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า 
บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้น 
มองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปร๊บ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมด 
เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมา 
ในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วครับ. 
ใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบท 
เช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอกครับ. 
จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลยครับ
.
 8. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่คือ 
ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีครับ. ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า 
กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวงครับ. เด็กสมัยใหมนี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิก 
นั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเราครับ. เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อ 
ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้ 
ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา 
เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัมนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆ 
เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ 
ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไร 
ต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ครับ. 
ดังนั้น จากข้อ 7. เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้ว 
ให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมอง 

โดยทำดังต่อไปนี้ครับ. 
- ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์
นึกนะครับ . ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ แล้วสรุปตามแหง ๆ 
จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้ง 
จนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว
ให้เลิกครับ. ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที 
กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตยืจนเลิกนึกนี่ 
คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนนะครับ. 
ใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์ 

9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อย 
คือกระบวนการสอบแข่งขันครับ. 
ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่ 
ม.1 จนจบ ม.6 เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเอง 
เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ครับ. เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม 
ทักษะในการทำข้อสอบ มีใหม 
เข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่า 
ก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียน 
เช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่าง เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์ 
ภาษาอังกฤษ โคงงงานวิทยาศาตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ 
สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้นะครับ. ซัก 1 - 2 ปี รู้ผลแน่ 
พี่รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้น 
แน่นอน อันดับระดับประเทศ ก็ไม่เกิน 50 อย่างมาก 

อ้อ ลืมบอกไปครับ. สิ่งสำคัญคือการอ่านล่วงหน้าครับ. 
ช่วงปิดเทอม ก็อ่านของเทอมหน้านู้นหรือ อยู่ ม.4 จะอ่านของ ม.6 ก็ได้นะไม่ผิด

ขอบคุณที่มา...http://www.mathcenter.net/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น